กลับมามองที่กำไรสุทธิ นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะชอบหุ้นของบริษัทที่มีกำไรสุทธิเยอะ ๆ กำไรสุทธิจึงเปรียบเสมือนพระเอกของตลาดหลักทรัพย์ นักลงทุนจึงควรรู้เท่าทันพระเอกของเราเพื่อไม่ให้งงไปกับการสับขาหลอก
เท้าความกันก่อนสำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า สิ่งที่นักลงทุนต้องการคือการเติบโตของเงินลงทุน ซึ่งแนวทางพื้นฐานก็คือ
- “เมื่อเราลงทุนในกิจการใด ๆ กิจการนั้นควรนำเงินลงทุนของเราไปใช้จ่ายแล้วเกิดกำไรถึงผู้ถือหุ้น ขยายความให้ลึกลงไปอีก กำไรถึงผู้ถือหุ้นคืออะไร กำไรส่วนนี้อันดับแรกอาจกลับมาในรูปเงินปันผล อันดับถัดไปคือไม่ได้ปันผลแต่เอากำไรของผู้ถือหุ้นไปลงทุนต่อ แล้วเงินลงทุนนั้นนอกจากไม่สูญหายแล้วยังออกดอกออกผลต่อไปได้อีก”
แล้วทำไมกำไรสุทธิถึงสับขาหลอกเราล่ะ ?
- ตอบง่าย ๆ ก็คือ ก็ไม่รู้ว่ากำไรนั้นจะถึงผู้ถือหุ้นหรือเปล่านะสิ
แล้วทำไมกำไรสุทธิถึงมาไม่ถึงผู้ถือหุ้นล่ะ ?
- อันนี้ตอบง่าย ๆ ไม่ได้แล้ว เท้าความกันอีกที ยกตัวอย่างประเด็นหนึ่งที่คุณปุ่วอเรน พูดซ้ำพูดซากหลายครั้งหลายคราเรื่องของค่าใช้จ่ายลงทุน ลองนึกภาพถึงกิจการใด ๆ ที่เพิ่งเริ่มต้นกิจการจะดำเนินงานดังต่อไปนี้
- 1. หาเงินทุนมาจากเจ้าของกิจการส่วนหนึ่ง เจ้าหนี้ส่วนหนึ่ง( นี่คือส่วนของหนี้สินและส่วนของเจ้าของในงบดุล )
- 2. นำเงินไปสร้างออฟฟิศ โกดัง เครื่องจักร สินค้าคงคลัง ฯลฯ( นี่คือส่วนของสินทรัพย์ในงบดุล )
- 3. เงินที่ได้จากการขายสินค้าคงคลังถือเป็นรายได้
- 4. เงินที่เคยจ่ายเพื่อการหาและผลิตสินค้าคงคลังถือเป็นต้นทุน
- 5. รายได้ลบด้วยต้นทุนคือกำไรขั้นต้น
- 6. เงินที่ลงไปในอสังหาริมทรัพย์ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเช่น ออฟฟิศ โกดัง เครื่องจักร เงินตัวนี่แหละที่จ่ายออกไปแล้วไม่ถือเป็นค่าใช้จ่าย ไม่เอาไปหักออกจากรายได้ แต่เอาไปบันทึกเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนแล้ว แล้วค่อยทยอยหักเป็นค่าใช้จ่ายที่เรียกว่า”ค่าเสื่อม”
- 7. ดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมนำมาคิดเป็นค่าใช้จ่าย แต่เงินต้นไม่คิดเป็นค่าใช้จ่าย
- 8. กำไรสุทธิเกิดจากกำไรขั้นต้นในข้อ 5. ลบออกด้วยค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในข้อ 6.และ 7. และภาษี
มาถึงตรงนี้สิ่งที่ควรพิจารณาให้ละเอียดก็คือข้อ 6. ทุก ๆ ปีหลาย ๆ กิจการมีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปพัฒนาสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนต่าง ๆ เช่นปรับปรุงอาคาร ซ่อมบำรุงเครื่องจักร ฯลฯ ไอ้ครั้นกิจการจะไม่ปรับปรุงก็ไม่ได้เพราะอนาคตก็ไม่มีเครื่องมือทำมาหากิน มันถือเป็นการบังคับว่าต้องกลับมาปรับปรุงบำรุงกันยกใหญ่เพื่อรักษาระดับของกำลังการผลิต รักษาระดับของยอดขาย นี่แค่รักษาระดับนะอย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงการเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มยอดขาย ที่ซ้ำร้ายก็คือเงินส่วนนั้นถ้าไม่แบ่งไปจากกำไรสุทธิไปใช้ก็ต้องไปกู้ยืมเขามา ถ้าผู้บริหารเอางบประมาณมาจากกำไรสุทธิ พอนักลงทุนกลับไปอ่านแนวทางพื้นฐานอีกรอบที่กล่าวถึงกำไรที่กลับไปถึงผู้ถือหุ้น นักลงทุนก็จะพบคำตอบทันทีว่ากำไรที่ไม่ถึงผู้ถือหุ้นหน้าตาเป็นอย่างไร งบประมาณส่วนนี้แหละที่วอเรน บัฟเฟตต์เรียกว่าค่าใช้จ่ายลงทุนซึ่งแทบจะไม่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นเลย และที่ซ้ำร้ายเข้าไปอีกก็คือเงินส่วนนี้ไม่นำไปใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิทั้งหมด เพราะจะถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์และทยอยคิดเป็นค่าเสื่อม ผลที่ตามมาอย่างน่าใจหายก็คือ กำไรสุทธิสูง สินทรัพย์ก็มีมูลค่าสูงตาม มูลค่าทางบัญชี( Book Value )ก็สูงเข้าไปอีก แต่รายได้ในปีถัด ๆ ไปกลับไม่เติบโต เฮ้อ.....ปวดหัวจริง ๆ
แต่ถ้าผู้บริหารไม่เอางบประมาณมาจากกำไรสุทธิ แล้วไปเลือกวิธีกู้หนี้ยืมสินเขามา ผลที่เกิดขึ้น ขั้นต้นก็แบบเดียวกับข้างต้นก็คือสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ทยอยคิดค่าเสื่อม กำไรก็ยังคงสูง แต่ก็ยังคงไม่ถึงผู้ถือหุ้นอยู่ดี เพราะต้องเอาไปคืนเจ้าหนี้นั่นเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ทั้งสองกรณีนี้เองที่เป็นสาเหตุให้วอเรน บัฟเฟตต์ไม่ชอบกิจการที่มีหนี้เยอะ ๆ หรือกิจการที่มีระบบการผลิตที่วุ่นวายซับซ้อนและกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพราะกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นมันไม่ถึงเจ้าของนั่นเอง
สรุปกันชัด ๆ อีกครั้งว่าหัวใจของการลงทุนคือผลตอบแทนที่ส่งถึงผู้ถือหุ้นแต่กำไรสุทธิอาจจะส่งไม่ถึงผู้ถือหุ้นก็ได้ ขอให้นักลงทุนทุกท่านไม่ถูกกำไรสุทธิสับขาหลอก
-----------------
ลิงค์ไปบทอื่น ๆ
บทนำ
บทที่ 1 เรียกน้ำย่อย
บทที่ 2 มูลค่าอนาคตและมูลค่าปัจจุบัน
บทที่ 3 วิธีคำนวณมูลค่าหุ้นกู้,พันธบัตรและวิธีคำนวณมูลค่าหุ้นสามัญ
บทที่ 4 เงินปันผลกับความไม่สมเหตุสมผลในการคำนวณมูลค่าหุ้นสามัญ
บทที่ 5 กำไรสุทธิพระเอกจอมสับขาหลอก
บทที่ 6 กำไรของเจ้าของพระเอกตัวจริง
บทที่ 7 กำไรของเจ้าของบอกมูลค่าของกิจการ